เจาะลึกสมรภูมิเดือด EV ไทย: BYD ยืนหนึ่ง ท่ามกลางปัจจัยบวก-ลบ

เจาะลึกสมรภูมิเดือด EV ไทย: BYD ยืนหนึ่ง ท่ามกลางปัจจัยบวก-ลบ

สมรภูมิรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยปี 2567-2568 แสดงภาพการแข่งขันที่เข้มข้น BYD ยังคงเป็นผู้นำด้วยส่วนแบ่งตลาดสูงสุด สะท้อนความแข็งแกร่งของแบรนด์จีน แม้ภาพรวมยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ในปี 2567 จะปรับตัวลดลง 8.1% อยู่ที่ 70,137 คัน แต่ยังคงมีสัดส่วนการเจาะตลาดที่ 14% ท่ามกลางปัจจัยหนุนจากนโยบายภาครัฐ และความตื่นตัวของผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ความกังวลด้านสถานีชาร์จและบริการหลังการขายยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ผู้ประกอบการต้องเร่งแก้ไข เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและขับเคลื่อนตลาด EV ไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยยังคงเป็นสมรภูมิที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง แม้ว่าอัตราการเติบโตที่เคยพุ่งทะยานในช่วงก่อนหน้า จะเริ่มแสดงสัญญาณการชะลอตัวลงบ้างในปี 2567 และต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกของปี 2568 อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่ากระแสความนิยมในยานยนต์ไฟฟ้ายังคงคุกรุ่น โดยมีผู้เล่นหลักอย่างแบรนด์สัญชาติจีน โดยเฉพาะ BYD (บีวายดี) ที่ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง

จากข้อมูลยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ตลอดทั้งปี 2567 พบว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 70,137 คัน ซึ่งปรับตัวลดลง 8.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่หากพิจารณาในแง่ของสัดส่วนการเจาะตลาด (Market Penetration) BEV ยังคงมีสัดส่วนถึง 14% ของยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ทั้งหมด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาดรถยนต์ไทยที่ยานยนต์ไฟฟ้าเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นอย่างชัดเจน

เมื่อพิจารณาถึงผู้เล่นในตลาด แบรนด์ BYD ยังคงโดดเด่นด้วยส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 38.5% ในปี 2567 หรือคิดเป็นยอดขาย 27,005 คัน ตอกย้ำความสำเร็จในการทำตลาดเชิงรุกและการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายรุ่น ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย ตามมาด้วย MG ที่ครองส่วนแบ่ง 12.9% (9,081 คัน) และ NETA ที่ 11.4% (7,969 คัน) ส่วนแบรนด์จีนอื่นๆ เช่น Changan (ฉางอัน) และ AION (ไอออน) ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทและส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจ โดย Changan อยู่ที่ 8.4% (5,912 คัน) และ AION 7.4% (5,185 คัน) ขณะที่ Tesla (เทสลา) ยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกามีส่วนแบ่งตลาด 5.9% (4,121 คัน) และ GWM (เกรท วอลล์ มอเตอร์) ในส่วนของแบรนด์ ORA อยู่ที่ 4.6% (3,231 คัน) ตัวเลขเหล่านี้ชี้ชัดว่าค่ายรถยนต์จากจีนสามารถครองส่วนแบ่งตลาด BEV ในไทยได้เป็นส่วนใหญ่

สำหรับรุ่นรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปี 2567 นั้น BYD Dolphin ขึ้นแท่นเป็นแชมป์ด้วยยอดจดทะเบียนสูงถึง 13,386 คัน ตามมาด้วยเพื่อนร่วมค่ายอย่าง BYD Atto 3 ที่ 7,747 คัน ส่วน NETA V ก็ยังคงทำผลงานได้ดีด้วยยอด 6,587 คัน ด้าน MG4 Electric และ BYD Seal ก็เป็นอีกสองรุ่นที่ได้รับความสนใจอย่างมากด้วยยอด 5,403 คัน และ 5,156 คัน ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมี Deepal S07 จาก Changan, Aion Y Plus, Tesla Model 3, GWM ORA Good Cat และ MG EP ที่ติดอันดับต้นๆ ของรถยนต์ไฟฟ้าขายดี

เมื่อเข้าสู่ปี 2568 สัญญาณบางประการชี้ให้เห็นถึงความต่อเนื่องของแนวโน้มดังกล่าว แม้ข้อมูลรวมของไตรมาสแรกยังไม่สมบูรณ์นัก แต่จากข้อมูลยอดจดทะเบียนในเดือนมกราคม 2568 มีจำนวน BEV ทั้งสิ้น 12,376 คัน (ลดลง 9.4% เมื่อเทียบกับมกราคม 2567) โดยรุ่นที่น่าจับตามองคือ BYD Sealion 7 ที่เปิดตัวมาแรง ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในเดือนแรก ตามด้วย BYD Dolphin, Deepal S07 และ MG4 Electric ส่วนในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ยอดจดทะเบียน BEV อยู่ที่ 5,164 คัน (ลดลง 58.3% จากเดือนมกราคม แต่เพิ่มขึ้น 42.1% เมื่อเทียบกับกุมภาพันธ์ 2567) โดย BYD Dolphin กลับมาครองแชมป์อีกครั้ง ตามด้วย AION V และ ORA Good Cat ข้อมูลแยกตามเซกเมนต์ในไตรมาส 1 ปี 2568 แสดงให้เห็นว่า BYD Dolphin ยังคงเป็นผู้นำในกลุ่ม ECO/B-Segment Hatchback ด้วยยอดขาย 2,870 คัน ตามด้วย MG4 Electric 2,124 คัน และ ORA Good Cat 1,356 คัน ส่วนในกลุ่ม D-Segment รถยนต์ BEV เช่น BYD Seal (585 คัน) ก็ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยขับเคลื่อนและความท้าทายในตลาด EV ไทย

ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยมาจากหลายมิติ หนึ่งในนั้นคือนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ โดยเฉพาะมาตรการ EV 3.0 และ EV 3.5 ที่ให้เงินอุดหนุนแก่ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าสูงสุดถึง 100,000 บาท (ขึ้นอยู่กับขนาดแบตเตอรี่และราคารถ) การลดหย่อนภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิตเหลือเพียง 2% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่นสามารถแข่งขันกับรถยนต์สันดาปภายในได้มากขึ้น นอกจากนี้ ภาครัฐยังมีเป้าหมายผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค โดยมีเงื่อนไขให้ผู้ที่ได้รับสิทธิประโยชน์นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า ต้องตั้งโรงงานผลิตชดเชยในประเทศ ซึ่งเริ่มเห็นผลจากการที่ค่ายรถยนต์จีนหลายราย เช่น GAC AION และ CHANGAN เริ่มเดินสายการผลิตในไทยแล้ว

ราคาที่เข้าถึงง่ายขึ้น โดยเฉพาะจากแบรนด์จีน ประกอบกับค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับค่าน้ำมัน เป็นอีกปัจจัยดึงดูดสำคัญ ผลสำรวจจาก NielsenIQ เมื่อเดือนมีนาคม 2568 ชี้ว่าปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าในไทย ได้แก่ การออกแบบ คุณภาพและความน่าเชื่อถือ ประสบการณ์การขับขี่ ความปลอดภัยและเทคโนโลยี รวมถึงต้นทุนการเป็นเจ้าของ นอกจากนี้ กระแสรักษ์โลกและความตื่นตัวด้านปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัยของรถยนต์ไฟฟ้า เช่น ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) และคุณสมบัติ Vehicle-to-Load (V2L) ที่สามารถจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์อื่นได้ ก็เป็นอีกแรงหนุนสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ตลาด EV ไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ผลสำรวจผู้บริโภคจาก Deloitte ในปี 2567 พบว่าแม้ความกังวลเรื่องความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยี EV และระยะทางวิ่งจะลดลง แต่ความกังวลหลักที่ยังคงอยู่คือความเพียงพอของสถานีชาร์จสาธารณะ และคุณภาพของบริการหลังการขาย โดยเฉพาะจากแบรนด์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำตลาด จำนวนศูนย์บริการที่ยังไม่ครอบคลุม และระยะเวลาในการรออะไหล่บางชิ้นส่วน ยังเป็นจุดที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญและต้องการการปรับปรุง นอกจากนี้ ผลสำรวจของ NielsenIQ ยังระบุว่าผู้ใช้รถ EV บางส่วน (24%) แสดงความไม่พึงพอใจต่อทักษะของช่างเทคนิคในระหว่างการเข้ารับบริการ

ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อโดยรวม ขณะที่สงครามราคาที่เริ่มปะทุขึ้นในตลาด EV จากการแข่งขันที่รุนแรง อาจส่งผลดีต่อผู้บริโภคในระยะสั้น แต่ก็อาจสร้างแรงกดดันต่อผู้ประกอบการในระยะยาว

แนวโน้มอนาคตและสิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ

สำหรับทิศทางในอนาคตอันใกล้ คาดการณ์ว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2568 จะมียอดขายมากกว่า 150,000 คัน และมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 20-25% ของยอดขายรถใหม่ทั้งหมด (อ้างอิง: Denza BD Ultimate) พฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนแปลงไปสู่การมองรถยนต์ไฟฟ้าเป็นการลงทุนระยะยาว มากกว่าเพียงแค่ความหรูหราหรือตามกระแส โดยให้ความสำคัญกับค่าบำรุงรักษาที่ต่ำ ประสบการณ์การขับขี่ที่เงียบและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การติดตั้งเครื่องชาร์จที่บ้าน (Wallbox Charger) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพื่อความสะดวกและประหยัด

เทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่มีความปลอดภัยสูงและทนทาน เช่น Blade Battery ของ BYD หรือแบตเตอรี่แบบ LFP (Lithium Iron Phosphate) จะถูกนำมาใช้ในวงกว้างมากขึ้น ขณะที่ระบบ ADAS และการเชื่อมต่อภายในรถยนต์ (In-car Connectivity) รวมถึงแอปพลิเคชันของแต่ละแบรนด์ จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้ใช้งาน การพัฒนาของรถกระบะไฟฟ้า (EV Pickup) และรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ ก็เป็นอีกแนวโน้มที่น่าจับตามอง

สรุปแล้ว ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ การแข่งขันที่เข้มข้น นโยบายภาครัฐที่ชัดเจน และความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป จะเป็นปัจจัยกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมนี้ ผู้ประกอบการที่สามารถตอบโจทย์ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ ราคา เทคโนโลยี คุณภาพบริการหลังการขาย และการสร้างความเชื่อมั่นด้านโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะเครือข่ายสถานีชาร์จ จะเป็นผู้ที่สามารถคว้าโอกาสและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในสมรภูมิ EV ที่ยังคงเต็มไปด้วยความท้าทายและโอกาสอีกมหาศาล

#รถยนต์ไฟฟ้า #EV #ตลาดรถEVไทย #BYD #รถยนต์ไฟฟ้าจีน #เทรนด์EV2568 #นโยบายEV35 #สถานีชาร์จEV #ยานยนต์ไฟฟ้า #เศรษฐกิจดิจิทัล