ประเทศไทยได้เริ่มต้นก้าวสำคัญบนเส้นทางสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ด้วย โครงการส่งเสริม EV ที่ริเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2560 โดยมีเป้าหมายในการลดมลพิษทางอากาศ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสร้างความยั่งยืนให้กับภาคการขนส่งของประเทศ ความสำเร็จของโครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐหลายแห่ง ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันและสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรม EV ในประเทศ
จุดเริ่มต้น: การจุดประกาย
- 2560: รัฐบาลไทยเริ่มให้การสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยมีการวางแผนและดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศอย่างต่อเนื่อง
- 2561: กระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกนโยบายส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั้งการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับชิ้นส่วนและอุปกรณ์ รวมถึงให้สิทธิประโยชน์อื่นๆ แก่ผู้ผลิต
- 2562: กรมสรรพสามิตได้ลดภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้มีราคาถูกลงและเข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้บริโภค นอกจากนี้ยังมีการดำเนินโครงการนำร่องต่างๆ เช่น โครงการรถยนต์ไฟฟ้าสาธารณะ เพื่อสร้างความตระหนักและประสบการณ์ในการใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้กับประชาชน
- 2563: กระทรวงพลังงานได้กำหนดนโยบาย 30@30 เพื่อให้การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมีสัดส่วน 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดภายในปี พ.ศ. 2573
โดยโครงการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมีหน่วยงานภาครัฐหลายแห่งที่เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานและออกมาตรการสนับสนุนต่างๆ ได้แก่:
-
กระทรวงอุตสาหกรรม: เป็นหน่วยงานหลักในการกำหนดนโยบายและมาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการกำหนดเป้าหมายการผลิตและการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ
-
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI): เป็นหน่วยงานที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและไม่ใช่ภาษีแก่ผู้ประกอบการที่ลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับชิ้นส่วนและอุปกรณ์ เป็นต้น
-
กรมสรรพสามิต: เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ ซึ่งมีบทบาทในการลดภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้มีราคาถูกลงและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
-
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.): เป็นหน่วยงานที่สนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เช่น สถานีชาร์จไฟฟ้า และการพัฒนาระบบไฟฟ้าให้รองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
-
กระทรวงพลังงาน: เป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลนโยบายด้านพลังงาน ซึ่งมีบทบาทในการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานสะอาด รวมถึงการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า
-
กระทรวงการคลัง: เป็นหน่วยงานที่ดูแลเรื่องงบประมาณและมาตรการทางภาษี ซึ่งมีบทบาทในการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า และการออกมาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า
นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม ที่ดูแลเรื่องการจดทะเบียนรถยนต์ และมาตรฐานความปลอดภัยของรถยนต์ไฟฟ้า และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ที่ดูแลเรื่องนโยบายและแผนพัฒนาด้านพลังงานของประเทศ
การทำงานร่วมกันของหน่วยงานต่างๆ เหล่านี้ เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้ประสบความสำเร็จ และบรรลุเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคคมนาคม
ผลกระทบ: แสงสว่างและเงา
โครงการส่งเสริม EV ได้สร้างผลกระทบทั้งในเชิงบวกและเชิงลบต่อสังคมไทย ในด้านบวก โครงการนี้ช่วยลดมลพิษทางอากาศและเสียง ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลงทุนจากต่างประเทศ และพัฒนาอุตสาหกรรม EV ของไทย อย่างไรก็ตาม ยังมีผลกระทบเชิงลบ เช่น ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์สันดาปเดิม ความจำเป็นในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมาก และความกังวลเกี่ยวกับการผลิตและการจัดการแบตเตอรี่
ซึ่งโครงการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยได้สร้างผลกระทบทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ ดังนี้
ผลกระทบเชิงบวก:
- สิ่งแวดล้อม:
- ลดมลพิษทางอากาศ: รถยนต์ไฟฟ้าไม่ปล่อยไอเสีย ทำให้คุณภาพอากาศดีขึ้น ลดปัญหาฝุ่น PM2.5 และมลพิษอื่นๆ
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก: รถยนต์ไฟฟ้าช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อน
- ลดมลพิษทางเสียง: รถยนต์ไฟฟ้ามีเสียงเบากว่ารถยนต์สันดาป ช่วยลดมลภาวะทางเสียงในเมือง
- เศรษฐกิจ:
- กระตุ้นการลงทุน: โครงการนี้ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า สร้างงานและรายได้ให้กับประเทศ
- พัฒนาอุตสาหกรรม: ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค
- ลดการนำเข้าน้ำมัน: การใช้รถยนต์ไฟฟ้าช่วยลดการนำเข้าน้ำมันดิบ ซึ่งเป็นการประหยัดเงินตราต่างประเทศ
- สังคม:
- สร้างทางเลือกการเดินทางที่ยั่งยืน: รถยนต์ไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน
- ยกระดับคุณภาพชีวิต: อากาศที่สะอาดขึ้นและเสียงที่เงียบลง ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
ผลกระทบเชิงลบ:
- เศรษฐกิจ:
- ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์สันดาป: การเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์สันดาปเดิม และอาจทำให้เกิดการสูญเสียงานในภาคส่วนนี้
- การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน: การพัฒนาสถานีชาร์จไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก
- สิ่งแวดล้อม:
- การผลิตแบตเตอรี่: กระบวนการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าอาจก่อให้เกิดมลพิษและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
- การจัดการแบตเตอรี่ที่ใช้แล้ว: การกำจัดหรือรีไซเคิลแบตเตอรี่ที่ใช้แล้วเป็นความท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไข
- สังคม:
- ความเหลื่อมล้ำ: รถยนต์ไฟฟ้ายังมีราคาสูง ทำให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงได้ยาก อาจเกิดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยี
ทั้งนี้โครงการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมีทั้งผลกระทบเชิงบวกและเชิงลบ โดยรวมแล้วถือเป็นโครงการที่มีประโยชน์ต่อประเทศในระยะยาว ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม อย่างไรก็ตาม รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินมาตรการเพื่อลดผลกระทบเชิงลบ และส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน
ผลสัมฤทธิ์: ก้าวเดินที่มั่นคง
- 2563-2564: มีการลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่หลายรายเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
- 2565-2566: ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV)
- 2567: รัฐบาลได้ออกมาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าระยะที่ 2 (EV 3.5) ในปี 2567 เพื่อเร่งการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ซึ่งรวมถึงเงินอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าตามประเภทของรถและขนาดแบตเตอรี่ โดยรถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท และแบตเตอรี่ขนาดไม่เกิน 50 kWh จะได้รับเงินอุดหนุน 20,000 – 100,000 บาทต่อคัน
- 2568-ปัจจุบัน: มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น
ผลสัมฤทธิ์จากโครงการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถแบ่งเป็นช่วงเวลาต่างๆ ดังนี้:
ระยะเริ่มต้น (2560-2564):
- การลงทุนในอุตสาหกรรม: มีการลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่หลายรายเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
- การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า: มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยเพิ่มขึ้น โดยส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ไฮบริด (HEV) และปลั๊กอินไฮบริด (PHEV)
- ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า: ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยยังมีจำนวนไม่มากนัก เนื่องจากราคาที่ยังสูงและโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่พร้อม
- โครงสร้างพื้นฐาน: มีการเริ่มพัฒนาสถานีชาร์จไฟฟ้า แต่ยังมีจำนวนจำกัดและกระจายตัวไม่ทั่วถึง
ระยะที่ 2 (2565-2567):
- การลงทุนในอุตสาหกรรม: การลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้ายังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีการลงทุนในเทคโนโลยีแบตเตอรี่และชิ้นส่วนอื่นๆ เพิ่มขึ้น
- การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า: มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) เพิ่มขึ้น และมีการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ในตลาดมากขึ้น
- ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า: ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV)
- โครงสร้างพื้นฐาน: มีการขยายสถานีชาร์จไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงต้องเร่งพัฒนาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
ระยะที่ 3 (2568-ปัจจุบัน):
- มาตรการสนับสนุน EV 3.5: รัฐบาลได้ออกมาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าระยะที่ 2 (EV 3.5) ในปี 2567 เพื่อเร่งการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ
- การลงทุนในอุตสาหกรรม: มีการลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดยมีการตั้งเป้าให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค
- การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า: มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศมากขึ้น
- ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า: ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น
- โครงสร้างพื้นฐาน: มีการเร่งพัฒนาสถานีชาร์จไฟฟ้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และมีการพัฒนาเทคโนโลยีการชาร์จไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยผลสัมฤทธิ์จากโครงการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมีพัฒนาการที่ดีขึ้นเป็นลำดับ โดยมีการลงทุนในอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศเพิ่มขึ้น ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องมีการพัฒนาและปรับปรุงในหลายด้าน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคคมนาคมได้อย่างเต็มที่
ตัวเลขที่สะท้อนความสำเร็จ:
ความสำเร็จของโครงการส่งเสริม EV ของไทยยังสะท้อนให้เห็นผ่านตัวเลขทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจ เช่น
- การลงทุน: มีการลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 1.46 แสนล้านบาท ในช่วงปี 2565-2566
- การผลิต: ตั้งแต่ปี 2560-2566 มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยรวมกว่า 240,000 คัน
- ยอดขาย: ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 มียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) เฉลี่ยเดือนละ 7,399 คัน เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าตัวจากปี 2565
ภาคประชาชน: ผู้ได้รับประโยชน์โดยตรง
ภาคประชาชนได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากโครงการส่งเสริม EV ในหลายด้าน อากาศที่สะอาดขึ้นและเสียงที่เงียบลงช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต นอกจากนี้ เงินอุดหนุนและมาตรการทางภาษีต่างๆ ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาถูกลงและเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ การขยายตัวของสถานีชาร์จไฟฟ้า ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)ยังช่วยลดความกังวลเรื่องระยะทางในการเดินทาง
อนาคต: ก้าวต่อไป
แม้ว่าโครงการส่งเสริม EV ของไทยจะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ยังคงมีงานที่ต้องทำอีกมากเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเปลี่ยนผ่านสู่สังคม EV อย่างเต็มรูปแบบ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี EV และการสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชน ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่สังคม EV ที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
#EVไทย #รถยนต์ไฟฟ้า #สังคมอีวี #พลังงานสะอาด #ลดมลพิษ #EV3 #EV3.5 #มาตรการส่งเสริมEV #30at30