ช่วงต้นปี 2567 Suzuki Motor Thailand ได้ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “Enhancing the Ability to Compete in the Upcoming Automotive Market” หรือ “เพิ่มขีดความสามารถสู่การแข่งขันในอนาคต” โดยมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบถ้วน รวมถึงการยกระดับงานบริการทั้งก่อนและหลังการขายให้มีคุณภาพและได้มาตรฐาน
- – อินเดีย ผุดนโยบายรถยนต์ไฟฟ้า รับนักลงทุนจากต่างชาติ
- – มาเซราติ พร้อมนำเสนอ กรันคาบริโอ โฟลกอเร สู่สายตาชาวโลก
ข่าวลือปิดกิจการ:
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 เกิดกระแสข่าวลือในโลกออนไลน์ว่า Suzuki Motor Thailand จะปิดกิจการในประเทศไทยภายในสิ้นปี 2567 โดยต้นตอของข่าวลือ Suzuki ปิดกิจการในประเทศไทยนั้นไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน แต่มีคลิปวิดีโอหนึ่งใน TikTok ที่เผยแพร่เนื้อหาว่า Suzuki Motor ประกาศปิดกิจการในประเทศไทยสิ้นปี 2567 เป็นตัวเร่งให้ข่าวลือนี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าในคลิปวิดีโอดังกล่าวไม่ได้มีการให้เหตุผลที่ชัดเจน เพียงแต่ระบุว่า Suzuki จะปิดกิจการในสิ้นปี 2567 และบอกให้ดีลเลอร์ขายรถและอะไหล่ให้หมดก่อนปิดบริษัท ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่ได้รับการยืนยันและไม่มีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ตาม มีการคาดเดาถึงสาเหตุที่อาจทำให้เกิดข่าวลือนี้ เช่น:
- การปรับโครงสร้างธุรกิจของ Suzuki Motor Corporation: ที่มุ่งเน้นการลงทุนในตลาดอินเดียและการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า Suzuki อาจลดความสำคัญของตลาดอื่นๆ รวมถึงประเทศไทย
- สถานการณ์ตลาดรถยนต์ในประเทศไทย: ที่มีการแข่งขันสูง และ Suzuki อาจเผชิญความท้าทายในการรักษาส่วนแบ่งการตลาด
- ผลกระทบจากโควิด-19: ที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก ทำให้ยอดขายรถยนต์ลดลง
- การคาดเดาของผู้คนในวงการ: ที่อาจไม่ได้สะท้อนความเป็นจริง
โดยล่าสุด Suzuki Motor Thailand ได้ออกมาปฏิเสธข่าวลือดังกล่าวอย่างรวดเร็วและชัดเจน โดยยืนยันว่าบริษัทยังคงดำเนินธุรกิจในประเทศไทยต่อไป และมีแผนการลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดรถยนต์ในประเทศไทย นอกจากนี้ Suzuki ยังได้ชี้แจงว่าข่าวลือที่เกิดขึ้นเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงและไม่มีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ
ทิศทางการทำธุรกิจของ Suzuki Thailand ในอนาคต:
หากจำกันได้ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา Suzuki Thailand ได้ประกาศวิสัยทัศน์และแผนธุรกิจระยะยาว 7 ปี ที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดประเทศไทย โดยมีรายละเอียดสำคัญดังนี้:
- แผนธุรกิจระยะยาว 7 ปี: มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบถ้วน รวมถึงการยกระดับงานบริการทั้งก่อนและหลังการขายให้มีคุณภาพและได้มาตรฐาน
- เป้าหมายยอดขายปี 2567: ตั้งเป้าหมายยอดขายรถยนต์ในปี 2567 ไว้ที่ 12,000 คัน
- การมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ: มุ่งเน้นการพัฒนารถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน
- การยกระดับงานบริการ: มุ่งมั่นที่จะยกระดับงานบริการในทุกด้าน ทั้งก่อนและหลังการขาย เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า
- การสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้จำหน่าย: จัดงานมอบรางวัล “ผู้จำหน่ายยอดเยี่ยม 2023” เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับผู้จำหน่าย
แม้ว่าในปัจจุบัน Suzuki ยังไม่มีรถยนต์ไฟฟ้าที่วางจำหน่ายในประเทศไทย แต่มีรถยนต์ไฮบริดที่เตรียมนำเข้าจำหน่ายอยู่คือ Suzuki Swift Hybrid และยังมีแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต
รถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบ (Concept EV): Suzuki eVX:เปิดตัวครั้งแรกในงาน Auto Expo 2023 ที่ประเทศอินเดีย เป็นรถ SUV ขนาดเล็ก ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วน 100% มีระยะทางวิ่ง 550 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง คาดว่าจะผลิตเพื่อจำหน่ายจริงในปี 2025
รถยนต์ไฮบริดที่เตรียมจำหน่ายในไทยราวกลางปี 2024 : Suzuki Swift Hybrid เป็นรถยนต์ Eco Car รุ่นที่ 7 ของ Swift ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ช่วยประหยัดน้ำมันและลดการปล่อยมลพิษ
แผนการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต:
- Suzuki มีแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่นในอนาคต โดยจะเริ่มจากรถยนต์ SUV ขนาดเล็กที่พัฒนาบนแพลตฟอร์มของ Toyota bZ4X ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในปี 2025
- นอกจากนี้ Suzuki ยังมีแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า Kei car ในประเทศญี่ปุ่นในปี 2023
แน่นอนว่า ข่าวลือเรื่องการปิดกิจการของ Suzuki Thailand เป็นเพียงข่าวลือที่ไม่เป็นความจริง Suzuki ยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจในประเทศไทยต่อไป และมีแผนการลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดรถยนต์ในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน รวมถึงการยกระดับงานบริการให้มีคุณภาพและได้มาตรฐาน เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า
คำแนะนำ: ควรติดตามข่าวสารจากช่องทางอย่างเป็นทางการของ Suzuki Thailand เพื่อรับข้อมูลที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือ และอย่าหลงเชื่อข่าวลือที่ไม่ได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้