เปิดยอดจอง Motor Show 2025 ครึ่งทาง ทะลุ 24,744 คัน

เปิดยอดจอง Motor Show 2025 ครึ่งทาง ทะลุ 24,744 คัน

งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 หรือ Motor Show 2025 ผ่านพ้นครึ่งทางแรกสุดคึกคัก เผยยอดจองรวม 6 วันแรก (26-31 มี.ค. 68) ทะลุ 24,744 คัน สะท้อนกำลังซื้อผู้บริโภคยังคงมีอยู่ แม้เผชิญสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว “โตโยต้า” ยังคงครองแชมป์เหนียวแน่น กวาดส่วนแบ่งตลาดสูงสุด ขณะที่ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง GAC (Aion/Hyper) และ Deepal (Changan) ไล่บี้ในอันดับ 2 และ 3 ตามลำดับ ส่วน MG และ Honda ไม่น้อยหน้า เกาะกลุ่ม Top 5 อย่างเหนียวแน่น จับตากลุ่มแบรนด์ยุโรปและแบรนด์หรู รวมถึง BYD ที่จะเปิดเผยยอดรวมในวันสุดท้ายของงาน

บรรยากาศภายในงาน “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46” (The 46th Bangkok International Motor Show 2025) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 มีนาคม ถึง 6 เมษายน 2568 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี ยังคงเต็มไปด้วยความคึกคัก ผู้เข้าชมงานให้ความสนใจกับยนตรกรรมรุ่นใหม่ๆ ที่各ค่ายนำมาจัดแสดงและแข่งขันกันนำเสนอโปรโมชั่นสุดพิเศษอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ฝ่ายจัดงานฯ ได้เปิดเผยตัวเลขยอดจองรถยนต์ภายในงานอย่างไม่เป็นทางการ หลังจากผ่านพ้น 6 วันแรกของการเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชม (นับตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม ถึง 31 มีนาคม 2568) พบว่ามียอดจองรวมทั้งสิ้นสูงถึง 24,744 คัน ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี

เมื่อพิจารณาในรายละเอียด พบว่า บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด (Toyota) ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดได้อย่างแข็งแกร่ง ทำยอดจองสะสมสูงสุดเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวน 4,573 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดถึง 18.48% ความสำเร็จของโตโยต้าสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวไทยที่มีต่อแบรนด์ ทั้งในด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ ความหลากหลายของรุ่นรถยนต์ที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถกระบะ หรือรถยนต์อเนกประสงค์ รวมถึงเครือข่ายศูนย์บริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศ แม้จะเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากแบรนด์น้องใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า แต่โตโยต้าก็ยังคงยืนหยัดในตำแหน่งผู้นำได้อย่างน่าประทับใจ

อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ที่น่าจับตามองอย่างยิ่งในงาน Motor Show ครั้งนี้ คือการรุกคืบอย่างต่อเนื่องของกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศจีน โดยเฉพาะในเซกเมนต์รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด GAC (Guangzhou Automobile Group) ซึ่งทำตลาดในประเทศไทยภายใต้แบรนด์ Aion สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าทั่วไป และ Hyper สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง โชว์ฟอร์มร้อนแรง คว้าอันดับ 2 ไปครองด้วยยอดจองรวม 3,140 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 12.69% การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ดีไซน์ทันสมัย ออปชั่นครบครัน และเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ล้ำหน้า ทำให้ GAC สามารถเจาะตลาดและครองใจผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างรวดเร็ว

ตามมาติดๆ ในอันดับที่ 3 คือ Deepal แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าภายใต้เครือ Changan Automobile ซึ่งสร้างความฮือฮาตั้งแต่เปิดตัวในประเทศไทยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา สามารถทำยอดจองสะสมได้ถึง 2,576 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 10.41% ทั้ง Deepal S07 (SUV) และ Deepal L07 (Sedan) ได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยม ด้วยรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยว เทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่ที่ทันสมัย และราคาที่เข้าถึงง่าย ทำให้ Deepal กลายเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์ไฟฟ้า

ขณะที่ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด (MG) ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยรายแรกๆ ยังคงรักษามาตรฐานและได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ทำยอดจองไปได้ 2,176 คัน คว้าอันดับ 4 ด้วยส่วนแบ่งตลาด 8.79% การมีรถยนต์หลากหลายเซกเมนต์ ทั้งรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) รถยนต์ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ MG สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม

ส่วน บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด (Honda) ยังคงเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมสูง รั้งอันดับ 5 ด้วยยอดจอง 2,136 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 8.63% แม้ว่าปัจจุบันฮอนด้าจะยังไม่มีรถยนต์ไฟฟ้า 100% ทำตลาดในไทยอย่างเป็นทางการ แต่รถยนต์ในกลุ่มไฮบริด e:HEV และรถยนต์สันดาปภายในรุ่นต่างๆ เช่น City, Civic, HR-V, CR-V ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของผู้บริโภค ด้วยชื่อเสียงด้านความน่าเชื่อถือ สมรรถนะที่ดี และเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ครบครัน

Motor Show 2025

สำหรับแบรนด์อื่นๆ ที่ทำผลงานได้น่าสนใจใน 10 อันดับแรก ได้แก่ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (Great Wall Motor – GWM) ซึ่งมีแบรนด์ย่อยอย่าง Haval, Ora และ Tank ทำยอดจองรวม 1,972 คัน (อันดับ 6, ส่วนแบ่ง 7.97%), มิตซูบิชิ (Mitsubishi) ยอดจอง 1,565 คัน (อันดับ 7, ส่วนแบ่ง 6.32%), นิสสัน (Nissan) ยอดจอง 1,255 คัน (อันดับ 8, ส่วนแบ่ง 5.07%), อีซูซุ (Isuzu) เจ้าตลาดรถกระบะ ทำยอดจอง 794 คัน (อันดับ 9, ส่วนแบ่ง 3.21%) และ Zeekr แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมจากเครือ Geely ที่เพิ่งเปิดตัวในงานนี้เป็นครั้งแรก ก็สร้างผลงานน่าพอใจด้วยยอดจอง 553 คัน (อันดับ 10, ส่วนแบ่ง 2.23%)

แบรนด์อื่นๆ ที่ติดอันดับตามมา ได้แก่ Suzuki (อันดับ 11, 542 คัน), Omoda & Jaecoo (แบรนด์ย่อย Chery) (อันดับ 12, 540 คัน), Mazda (อันดับ 13, 529 คัน), Xpeng (อันดับ 14, 506 คัน), Ford (อันดับ 15, 399 คัน), Geely (อันดับ 16, 395 คัน), Neta (อันดับ 17, 387 คัน), Farizon (รถเพื่อการพาณิชย์ไฟฟ้า) (อันดับ 18, 175 คัน), Kia (อันดับ 19, 168 คัน), Hyundai (อันดับ 20, 156 คัน), Avatar (Changan) (อันดับ 21, 137 คัน), Lexus (อันดับ 22, 37 คัน) และ Juneyao Auto (อันดับ 23, 33 คัน)

ข้อสังเกตและประเด็นที่น่าสนใจ:

  1. การเติบโตของ EV จีน: ตัวเลขยอดจองครึ่งทางแรก ตอกย้ำถึงกระแสความนิยมและการยอมรับในแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลายแบรนด์สามารถทำยอดขายติดอันดับ Top 10 และมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันจำนวนมาก แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อคุณภาพ เทคโนโลยี และความคุ้มค่าของผลิตภัณฑ์
  2. Toyota ยังคงแข็งแกร่ง: แม้การแข่งขันจะรุนแรง แต่โตโยต้ายังคงรักษาตำแหน่งผู้นำไว้ได้ ด้วยฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์
  3. แบรนด์ญี่ปุ่นอื่นๆ ต้องปรับตัว: ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นรายอื่นๆ นอกจากโตโยต้า อาจต้องเผชิญกับความท้าทายมากขึ้นในการแข่งขัน โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่ถูกรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด การปรับกลยุทธ์และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า จึงเป็นสิ่งจำเป็น
  4. กลุ่มรอแจ้งยอดวันสุดท้าย: มีข้อสังเกตว่า หลายแบรนด์ โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์หรูและรถยนต์ยุโรป เช่น Mercedes-Benz, BMW, Audi, Volvo, Porsche, Mini, Rolls-Royce, Aston Martin, Maserati, Peugeot, Jeep รวมถึง Lexus และแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดขายสูงอย่าง BYD และ Denza ยังไม่มีการรายงานตัวเลขยอดจองในตารางสรุปครึ่งทางนี้ เนื่องจากตามหมายเหตุระบุว่า แบรนด์เหล่านี้จะแจ้งยอดจองรวมทั้งหมดในวันสุดท้ายของการจัดงาน (6 เมษายน 2568) ดังนั้น ตัวเลขยอดจองรวมและอันดับต่างๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อสิ้นสุดงาน โดยเฉพาะตำแหน่งในกลุ่ม Top 5 และภาพรวมส่วนแบ่งตลาด EV ซึ่งคาดว่า BYD จะยังคงเป็นผู้เล่นหลักที่มียอดจองสูง
  5. สัญญาณบวกต่อตลาด: ยอดจองรวมเกือบ 25,000 คันในช่วงครึ่งทางแรก ถือเป็นตัวเลขที่ไม่น้อย และเป็นสัญญาณที่ดีว่าผู้บริโภคยังคงมีความต้องการซื้อรถยนต์ใหม่ แม้จะต้องพิจารณาถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจและภาระหนี้ครัวเรือนประกอบด้วยก็ตาม โปรโมชั่นที่น่าสนใจภายในงาน และการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ

บทสรุปและแนวโน้ม:

ยอดจองรถยนต์ในงาน Motor Show 2025 ช่วงครึ่งทางแรก แสดงให้เห็นภาพการแข่งขันที่เข้มข้นในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย โดยเฉพาะการขับเคี่ยวระหว่างแบรนด์ดั้งเดิมและแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นอย่างชัดเจน โตโยต้ายังคงรักษาความเป็นผู้นำได้อย่างน่าชื่นชม ขณะที่ GAC, Deepal และ MG พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพและการยอมรับจากผู้บริโภคไทย

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น ยังคงต้องจับตาดูยอดจองรวมสุดท้ายหลังจบงานในวันที่ 6 เมษายน 2568 ซึ่งจะรวมยอดจากแบรนด์สำคัญๆ ที่ยังไม่เปิดเผยตัวเลขเข้ามาด้วย โดยเฉพาะ BYD และกลุ่มแบรนด์รถยนต์หรู ซึ่งจะทำให้เห็นภาพรวมของตลาดและความนิยมของผู้บริโภคได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น คาดการณ์ว่ายอดจองรวมตลอดทั้งงานน่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายหรือใกล้เคียงกับปีก่อนๆ แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อก็ตาม

#MotorShow2025 #BIMS2025 #ยอดจองรถ #บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนลมอเตอร์โชว์ #รถยนต์ไฟฟ้า #EV #โตโยต้า #Toyota #GAC #AION #Deepal #Changan #MG #Honda #GreatWallMotor #Mitsubishi #Nissan #Isuzu #Zeekr #รถยนต์จีน #ข่าวเศรษฐกิจ #ยานยนต์ #ตลาดรถยนต์ไทย