บีโอไอ ชูธงหนุน EV สุดลิ่ม ย้ำรักษาแชมป์ฐานผลิตอาเซียน

บีโอไอ ชูธงหนุน EV สุดลิ่ม ย้ำรักษาแชมป์ฐานผลิตอาเซียน

บีโอไอ แจงยุทธศาสตร์ส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) จำเป็นต่ออนาคตเศรษฐกิจไทย ย้ำเป้ารักษาตำแหน่งผู้นำฐานการผลิตยานยนต์แห่งอาเซียน ท่ามกลางสมรภูมิการแข่งขันที่ดุเดือด เผยผลสัมฤทธิ์รูปธรรม สร้างงานคุณภาพแล้วเกือบหมื่นตำแหน่ง ดันซัพพลายเออร์ไทยเข้าสู่ห่วงโซ่การผลิตโลก พร้อมเปิดโรดแมปเชื่อมโยงธุรกิจคาดสร้างมูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านบาท ยืนยันให้สิทธิประโยชน์โปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – ท่ามกลางกระแสความท้าทายและคำถามถึงผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากการเปิดรับการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) จากต่างชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้ออกมายืนยันอย่างหนักแน่นถึงความจำเป็นเชิงยุทธศาสตร์ในการผลักดันอุตสาหกรรมแห่งอนาคตนี้ โดยชี้ว่านี่คือหัวใจสำคัญในการรักษาความเป็นผู้นำด้านยานยนต์ของภูมิภาค และสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจให้กับประเทศในระยะยาว

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า การส่งเสริมอุตสาหกรรม EV ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) ไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า การช่วงชิงความเป็นฐานการผลิต EV จึงเป็นสมรภูมิสำคัญที่ไทยต้องเอาชนะให้ได้ เพื่อต่อยอดความสำเร็จจากอุตสาหกรรมยานยนต์เดิมที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศมายาวนาน

เดิมพันสูง! รักษาบัลลังก์ “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” ในยุค EV

นายนฤตม์ได้ฉายภาพให้เห็นถึงการแข่งขันที่เข้มข้นในภูมิภาคอาเซียน โดยประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ต่างออกมาตรการเชิงรุกเพื่อดึงดูดการลงทุนจากค่ายรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของโลก ประเทศไทยในฐานะแชมป์เก่าจึงต้องปรับตัวและเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อรักษาตำแหน่งศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ของอาเซียนไว้

“ในช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมยานยนต์โลกกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคของยานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ ประเทศไทยที่เป็นฐานผลิตยานยนต์ของภูมิภาคและของโลกมานาน จำเป็นต้องช่วงชิงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และดึงดูดบริษัทที่มีเทคโนโลยีเหล่านี้ให้เข้ามาลงทุนในไทยให้มากที่สุด เพื่อรักษาฐานอุตสาหกรรม การจ้างงาน และธุรกิจเกี่ยวเนื่องในอุตสาหกรรมยานยนต์” นายนฤตม์กล่าว

กลยุทธ์ของไทยไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) เท่านั้น แต่ครอบคลุมทุกเทคโนโลยี ทั้งไฮบริด (HEV), ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV), และ Range-Extended EV (REEV) ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงานภายใต้คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ทั้งบีโอไอ, กระทรวงการคลัง, กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพลังงาน ซึ่งนโยบายที่ชัดเจนและต่อเนื่องนี้ ได้ส่งผลให้ผู้ผลิต EV ระดับโลกหลายรายตัดสินใจปักหมุดให้ไทยเป็นฐานการผลิตหลักในภูมิภาค อาทิ MG, Great Wall Motor, GAC Aion, Changan, Omoda & Jaecoo, Foton และล่าสุดคือ Hyundai ยิ่งไปกว่านั้น การลงทุนของ Changan ยังรวมถึงการจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาขนาดใหญ่และสำนักงานภูมิภาคในไทยอีกด้วย ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นและศักยภาพของประเทศไทย

ผลลัพธ์ที่จับต้องได้: การจ้างงาน สร้างคน และยกระดับซัพพลายเชน

แม้การลงทุนในอุตสาหกรรม EV จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมได้เริ่มปรากฏให้เห็นแล้วในหลายมิติ โดยบีโอไอได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้

  1. การสร้างงานคุณภาพสูง: กลุ่มผู้ผลิต EV รายใหม่ที่เพิ่งเริ่มดำเนินการผลิตในไทยไม่ถึง 1 ปี ได้สร้างการจ้างงานรวมแล้วกว่า 9,600 คน โดยสัดส่วนบุคลากรไทยสูงถึงร้อยละ 85-95 ครอบคลุมตั้งแต่ระดับช่างเทคนิค วิศวกร ไปจนถึงผู้บริหารระดับสูง ยกตัวอย่างกรณีของค่าย BYD ซึ่งเป็นผู้ผลิตที่จ้างงานมากที่สุด ได้มีการจ้างงานไปแล้วกว่า 5,900 คน โดยเป็นคนไทยถึงร้อยละ 88 และมีแผนจะเพิ่มการจ้างงานเป็น 8,000 คนภายในปี 2569 ซึ่งจะเพิ่มสัดส่วนคนไทยเป็นร้อยละ 95 ที่สำคัญคือการลงทุนนี้มาพร้อมกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการฝึกอบรมทักษะขั้นสูง ซึ่งจะเป็นองค์ความรู้ที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศต่อไป

  2. การพัฒนาซัพพลายเออร์ไทย: บีโอไอไม่ได้มองแค่การประกอบรถยนต์ แต่มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้ห่วงโซ่อุปทานทั้งระบบ โดยมีข้อกำหนดให้ผู้ผลิตต้องมีแผนพัฒนาผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศ และต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่ผลิตในประเทศ เช่น แบตเตอรี่, มอเตอร์ขับเคลื่อน (Traction Motor), PCU Inverter, และระบบบริหารจัดการแบตเตอรี่ (BMS) เป็นต้น ปัจจุบัน ผู้ผลิต EV มีสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content) เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 40-60 และเริ่มมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีผ่านการอบรมและส่งวิศวกรมาทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ไทยอย่างใกล้ชิด โดยค่าย BYD ได้จับมือกับซัพพลายเออร์ไทยไปแล้ว 35 ราย และขึ้นทะเบียนใช้ชิ้นส่วนในประเทศแล้วถึง 415 รายการ

  3. การสร้างระบบนิเวศ EV ที่ยั่งยืน: นอกเหนือจากการผลิต บีโอไอยังกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการต้องร่วมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น สถานีอัดประจุไฟฟ้า และที่สำคัญคือการวางระบบจัดการแบตเตอรี่ที่ใช้แล้ว เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

บทบาทเชิงรุกของบีโอไอ: ตัวกลางเชื่อมโอกาสสู่ผู้ประกอบการไทย

บีโอไอไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่อนุมัติส่งเสริมการลงทุน แต่ยังสวมบทบาท “พ่อสื่อ” เชื่อมโยงผู้ผลิตระดับโลกเข้ากับผู้ประกอบการชิ้นส่วนไทยอย่างจริงจัง ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย โดยเฉพาะงานใหญ่ประจำปีอย่าง “Subcon Thailand” และการจัด “Sourcing Day” ร่วมกับค่ายรถยนต์ EV ต่างๆ ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีการจัดไปแล้วกว่า 10 ครั้ง ดึงดูดซัพพลายเออร์ไทยเข้าร่วมครั้งละ 200-300 ราย กิจกรรมเหล่านี้ได้กลายเป็นเวทีสำคัญที่เปิดประตูให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยได้พบปะและเจรจาธุรกิจกับค่ายรถยนต์โดยตรง คาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าเชื่อมโยงทางธุรกิจได้มหาศาลกว่า 40,600 ล้านบาท

นอกจากนี้ บีโอไอยังได้วางแนวทางการช่วยเหลือผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยให้สามารถปรับตัวและผ่านมาตรฐานเพื่อเข้าสู่ Supply Chain ระดับสากล ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอนสำคัญ ตั้งแต่การลงทะเบียน (Supplier Registration), การตรวจประเมิน (Supplier Audit), การขึ้นทะเบียนรับรอง (Approved Vendor List), การพัฒนาชิ้นงานตัวอย่าง (Candidate Supplier) ไปจนถึงการได้รับคำสั่งซื้อ (Nominated Supplier)

ยืนยันความโปร่งใสและผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจมหภาค

ต่อประเด็นข้อกังวลด้านสิทธิประโยชน์ บีโอไอย้ำว่าการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ผลิต EV ทุกรายเป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน มีเงื่อนไขที่ชัดเจนและรัดกุม โดยเฉพาะการยกเว้นอากรนำเข้าเครื่องจักร จะให้สิทธิเฉพาะเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในสายการผลิตตามโครงการที่ได้รับส่งเสริมเท่านั้น และมีการตรวจสอบทุกรายการอย่างเข้มงวด ไม่มีการให้สิทธิประโยชน์ในการนำเข้าวัสดุก่อสร้างหรืออุปกรณ์สำนักงานแต่อย่างใด

เมื่อมองในภาพรวม การส่งเสริมการลงทุนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2565 – มี.ค. 2568) คาดว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ทั้งการสร้างงานให้คนไทยมากกว่า 510,000 ตำแหน่ง, การใช้วัตถุดิบในประเทศมูลค่ากว่า 3 ล้านล้านบาทต่อปี และการสร้างมูลค่าส่งออกสูงถึง 5.8 ล้านล้านบาทต่อปี ซึ่งรายได้เหล่านี้จะไหลเวียนไปสู่ผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานของไทยอย่างทั่วถึง

“การส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ ทำเพื่อสร้างอุตสาหกรรมที่จะเป็นอนาคตของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม BCG, ยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญ, เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, ดิจิทัลและ AI หากประเทศไทยไม่สามารถคว้าการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เหล่านี้มาได้ เราจะสูญเสียการจ้างงานและโอกาสทางธุรกิจอีกมากมาย บีโอไอขอยืนยันว่าจะดำเนินการอย่างโปร่งใสและมุ่งประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและคนไทย” นายนฤตม์ กล่าวสรุป

การเดินหน้าผลักดันอุตสาหกรรม EV ของบีโอไอในครั้งนี้ จึงเปรียบเสมือนการวางรากฐานที่สำคัญให้กับอนาคตของเศรษฐกิจไทย ซึ่งไม่ใช่เพียงการรักษาแชมป์เก่า แต่คือการสร้างโอกาสใหม่ๆ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้เติบโตไปพร้อมกับเทรนด์ของโลกอย่างยั่งยืน

#EV #ยานยนต์ไฟฟ้า #บีโอไอ #BOI #ลงทุน #เศรษฐกิจไทย #ฐานการผลิตรถยนต์ #ซัพพลายเชน #อุตสาหกรรมยานยนต์ #นฤตม์เทอดสถีรศักดิ์