อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยยืนหนึ่ง! ส่งออก เผชิญจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่สู่ EV

อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยยืนหนึ่ง! ส่งออก เผชิญจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่สู่ EV

อุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนของไทย ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศและครองแชมป์ส่งออกอันดับหนึ่งยาวนานกว่า 10 ปี กำลังยืนอยู่บนทางแยกสำคัญ ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีสู่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และความต้องการของตลาดโลกที่เปลี่ยนไป สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ชี้เป็นทั้งความท้าทายและโอกาสที่ไทยต้องเร่งปรับตัวอย่างยืดหยุ่น เพื่อรักษาฐานการผลิตเดิม เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และแสวงหาลู่ทางใหม่ในอุตสาหกรรมอนาคต ทั้งเครื่องมือแพทย์และอากาศยาน ตอกย้ำความเชื่อมั่นในการเติบโตอย่างยั่งยืน

อุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนของประเทศไทย นับเป็นเสาหลักสำคัญในการขับเคลื่อนพลวัตทางเศรษฐกิจของชาติมาอย่างยาวนาน โดยมีบทบาทโดดเด่นในฐานะแชมป์การส่งออกสินค้าอันดับหนึ่งของประเทศต่อเนื่องเป็นเวลานับทศวรรษ เฉพาะในปี 2567 ที่ผ่านมา การส่งออกกลุ่มสินค้ารถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบที่เกี่ยวข้อง มีมูลค่าสูงถึง 35,353.91 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 11.76 ของมูลค่าการส่งออกสินค้ารวมของไทยไปยังตลาดโลก ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงศักยภาพและความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในเวทีการค้าโลก

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันอุตสาหกรรมนี้กำลังเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนและหลากหลายมิติ ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศและแรงกดดันจากเวทีสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากความนิยมในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine: ICE) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไทยมีความเชี่ยวชาญและเป็นผู้นำตลาด (Product Champion) มาอย่างยาวนาน ไปสู่ยุคของรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีอุบัติใหม่สำหรับประเทศไทย แต่กลับกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดทั่วทุกมุมโลก

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ได้ให้ทรรศนะต่อสถานการณ์ดังกล่าวว่า สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ได้ทำการวิเคราะห์อย่างละเอียดถึงโอกาสและความท้าทายที่อุตสาหกรรมรถยนต์และส่วนประกอบของไทยกำลังเผชิญหน้า อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของความต้องการในตลาดโลก และการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สนค. ยังคงมองเห็นทิศทางและแนวทางที่ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐจำเป็นต้องร่วมมือกันเร่งปรับตัว เพื่อรักษาฐานการผลิตที่สำคัญของประเทศ แสวงหาโอกาสจากความท้าทายที่เกิดขึ้น และเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในระยะยาว

เพื่อให้ประเทศไทยสามารถธำรงรักษาความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมรถยนต์ต่อไปได้อย่างยั่งยืน การวางกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นและปรับตัวได้ตามสถานการณ์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ควบคู่ไปกับการรักษารากฐานความแข็งแกร่งเดิมให้มั่นคง หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญคือการเร่งสนับสนุนและรักษาจุดเด่นของไทยในการเป็นฐานการผลิตรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) ที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ควบคู่ไปกับการพัฒนา นวัตกรรม และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้

ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดไปยังประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักและมีศักยภาพในการเติบโตสูง รวมถึงกลุ่มประเทศคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC) และออสเตรเลีย ซึ่งเป็นตลาดใหม่ที่มีกำลังซื้อและให้ความสำคัญกับมาตรฐานสากล

ในส่วนของการปรับตัวเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ของโลกนั้น ประเทศไทยได้มีการออกมาตรการสนับสนุนต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม EV ในประเทศ มาตรการสำคัญล่าสุดคือ “มาตรการ EV 3.5” ที่มอบสิทธิประโยชน์หลากหลายด้านแก่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการให้เงินอุดหนุน การลดอัตราภาษีขาเข้าสำหรับรถยนต์สำเร็จรูปและชิ้นส่วน และการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ (Local Content Requirement)

มาตรการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นฐานการผลิตและส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญในระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่างครบวงจร นอกจากนี้ ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไทย ซึ่งมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการผลิตชิ้นส่วนสำหรับรถยนต์ ICE อยู่แล้ว สามารถปรับตัวและเปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตชิ้นส่วนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีความต้องการสูงในตลาดโลก เช่น แบตเตอรี่พลังงานไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของ EV, ระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุมการส่งกำลัง (Powertrain Electronics) และมอเตอร์ไฟฟ้า เป็นต้น

การปรับตัวดังกล่าวไม่เพียงแต่จะช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย แต่ยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มและโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย

ผอ.สนค. กล่าวเสริมว่า นอกเหนือจากการปรับตัวภายในอุตสาหกรรมยานยนต์แล้ว ประเทศไทยยังควรต้องมองหาโอกาสในการขยายและปรับตัวไปสู่อุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่มีศักยภาพและเป็นแนวโน้มของอนาคต (New S-Curve Industries) เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างแหล่งรายได้ใหม่ให้กับประเทศ หนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงคือ “อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์” ซึ่งกำลังมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ปัจจัยหนุนสำคัญมาจากการที่สังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super Aged Society)” ซึ่งหมายถึงการมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 20 ของจำนวนประชากรทั้งหมดในประเทศ ทำให้ความต้องการเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ในตลาดมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วน ซึ่งมีความชำนาญในการผลิตชิ้นส่วนที่มีความแม่นยำสูงและต้องการมาตรฐานการผลิตที่เข้มงวด สามารถนำองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญดังกล่าวมาประยุกต์ใช้เพื่อขยายตลาดไปสู่การผลิตเครื่องมือแพทย์ได้

อีกหนึ่งอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-Curve) ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องคือ “อุตสาหกรรมอากาศยาน” การเติบโตของอุตสาหกรรมการบินทั่วโลก การเพิ่มขึ้นของจำนวนเครื่องบิน และการคาดการณ์ว่าจำนวนผู้โดยสารทางอากาศจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต เป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนความต้องการชิ้นส่วนและบริการที่เกี่ยวข้องกับอากาศยาน ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมรถยนต์สามารถปรับใช้ความชำนาญในการผลิตชิ้นส่วนที่มีความละเอียดและคุณภาพสูง เช่น ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ ระบบต่าง ๆ ของเครื่องบิน รวมถึงการบำรุงรักษา (Maintenance, Repair, and Overhaul: MRO) ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่และมีมูลค่าสูง การเชื่อมโยงความเชี่ยวชาญจากอุตสาหกรรมยานยนต์ไปสู่อุตสาหกรรมอากาศยานจึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันและสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย

ผอ.สนค. ได้กล่าวทิ้งท้ายด้วยความเชื่อมั่นว่า ด้วยความร่วมมืออย่างแข็งขันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์และส่วนประกอบของไทย จะทำให้อุตสาหกรรมนี้สามารถปรับตัวและเติบโตต่อไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน การมองการณ์ไกล การปรับตัวที่รวดเร็ว การขยายโอกาสไปยังตลาดใหม่ ๆ ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ยานยนต์เดิมและยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการแตกไลน์ไปสู่อุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องที่มีศักยภาพ จะเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางความท้าทายของโลกยุคใหม่

การเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยครั้งนี้ แม้จะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ก็แฝงไว้ด้วยโอกาสมหาศาล หากทุกภาคส่วนสามารถผนึกกำลังและปรับกลยุทธ์ได้อย่างทันท่วงที การรักษาตำแหน่ง “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” ควบคู่ไปกับการเป็นฮับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญ รวมถึงการรุกคืบเข้าสู่อุตสาหกรรมอนาคต ย่อมไม่ไกลเกินความเป็นจริงสำหรับประเทศไทย.

#อุตสาหกรรมรถยนต์ไทย #รถยนต์ไฟฟ้า #EV #ส่งออกรถยนต์ #สนค #กระทรวงพาณิชย์ #เศรษฐกิจไทย #ยานยนต์สันดาปภายใน #ICE #มาตรการEV35 #ชิ้นส่วนยานยนต์ #ฐานการผลิตรถยนต์ #สังคมสูงวัย #เครื่องมือแพทย์ #อุตสาหกรรมอากาศยาน #NewSCurve #พูนพงษ์นัยนาภากรณ์ #TPSO