Benz กางแผน “Intense Product Launch” พร้อมเร่งดันรถไฟฟ้า-ไฮบริด

Benz กางแผน “Intense Product Launch” พร้อมเร่งดันรถไฟฟ้า-ไฮบริด

Mercedes-Benz ประกาศแผนพลิกฟื้นธุรกิจครั้งใหญ่ ด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่และรุ่นปรับโฉมกว่า 36 รุ่น ภายในปี 2027 ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า (EV), ไฮบริด และเครื่องยนต์สันดาป (ICE) พร้อมชูเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง Steer-by-Wire และระบบปฏิบัติการ MB.OS หวังตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม และกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

Mercedes-Benz (เมอร์เซเดส-เบนซ์) ผู้ผลิตรถยนต์หรูสัญชาติเยอรมัน ประกาศแผนการพลิกฟื้นธุรกิจครั้งสำคัญ ภายใต้ชื่อ “Intense Product Launch Program” ซึ่งเป็นการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่และรุ่นปรับโฉมครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทฯ โดยมีรถยนต์มากถึง 36 รุ่น ที่จะทยอยเปิดตัวภายในปี 2027 แบ่งเป็นรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป 19 รุ่น และรถยนต์ไฟฟ้า 17 รุ่น

การประกาศแผนครั้งนี้ เกิดขึ้นในงาน Capital Market Day ประจำปีของ Mercedes-Benz ซึ่งเป็นการประชุมนักลงทุนและสื่อมวลชน เพื่อนำเสนอแผนธุรกิจและทิศทางของบริษัทฯ ในอนาคต โดย Mercedes-Benz ยอมรับว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับบริษัทฯ เนื่องจากยอดขายในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดของบริษัทฯ ลดลงอย่างมาก ประกอบกับแผนการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า 100% ภายในปี 2030 ต้องชะลอตัวลง เนื่องจากกระแสตอบรับรถยนต์ไฟฟ้าตระกูล EQ ของบริษัทฯ ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

อย่างไรก็ตาม Mercedes-Benz ยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในตลาดยานยนต์ไฟฟ้า โดยในแผน “Intense Product Launch Program” นี้ จะมีการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นสำคัญ ๆ หลายรุ่น ได้แก่ E-Class Sedan, C-Class Sedan และ GLC-Class Crossover ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นยอดนิยมของบริษัทฯ นอกจากนี้ ยังมีแผนเปิดตัว S-Class ไฟฟ้า ในอนาคตอันใกล้อีกด้วย

Markus Schaefer (มาร์คุส เชฟเฟอร์) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) ของ Mercedes-Benz กล่าวว่า “รถยนต์รุ่นใหม่ทั้งหมด จะมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ครบครัน และใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าล่าสุดของ AI พวกเขาจะเต็มไปด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ระบบช่วยเหลือการขับขี่อัตโนมัติล่าสุด และคุณสมบัติทางเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่ เช่น ระบบบังคับเลี้ยวแบบ Steer-by-Wire”

“เราจะสร้างความตื่นเต้นให้กับลูกค้าของเราด้วยการเปิดตัวรถยนต์ที่ยอดเยี่ยมอย่างเต็มรูปแบบ รถยนต์เหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ชาญฉลาดในชีวิตของพวกเขา ทุกรุ่นจะมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ครบครัน และใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าล่าสุดของ AI พวกเขาจะเต็มไปด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ระบบช่วยเหลือการขับขี่อัตโนมัติ (ADAS) ล่าสุด และคุณสมบัติทางเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่ เช่น ระบบบังคับเลี้ยวแบบ Steer-by-Wire “

“ทั้งหมดนี้จะเริ่มต้นในเร็วๆ นี้ ด้วย CLA ใหม่ของเรา ซึ่งเป็นยานยนต์ที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ (Software-Defined Vehicle) คันแรกของเรา ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบปฏิบัติการ MB.OS ที่เราพัฒนาขึ้นเองภายในบริษัทฯ และตามมาด้วย GLC ไฟฟ้าใหม่ของเรา ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนในกลุ่มรถยนต์ SUV ขนาดกลาง นี่คือรถ SUV ไฟฟ้าที่ลูกค้าของเรารอคอย”

เทคโนโลยี Steer-by-Wire และ MB.OS หัวใจสำคัญของรถยนต์ Mercedes-Benz ยุคใหม่

หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของแผนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่นี้ คือ การนำเทคโนโลยี Steer-by-Wire มาใช้ ซึ่งเป็นระบบบังคับเลี้ยวที่ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด โดยไม่มีการเชื่อมต่อทางกลไกกับล้อ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มพื้นที่ในการออกแบบภายในรถยนต์

นอกจากนี้ รถยนต์รุ่นใหม่ของ Mercedes-Benz จะมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ MB.OS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาขึ้นเองภายในบริษัทฯ และจะทำให้รถยนต์ Mercedes-Benz กลายเป็น “Software-Defined Vehicle” อย่างแท้จริง เหมือนกับรถยนต์ Tesla หรือ Rivian ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ เช่น สมาร์ทโฟน และสามารถอัปเกรดซอฟต์แวร์ผ่านระบบไร้สาย (Over-the-Air Updates) ได้

CLA-Class จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง

Mercedes-Benz จะเริ่มต้นแผนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ด้วยการเปิดตัว CLA-Class ใหม่ ซึ่งจะมีให้เลือกทั้งแบบซีดาน และแบบไฮบริด หรือไฟฟ้าทั้งหมด โดย CLA-Class ใหม่ จะใช้แพลตฟอร์ม MMA (Mercedes Modular Architecture) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มใหม่ที่ออกแบบมาให้รองรับทั้งระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าและเครื่องยนต์สันดาปแบบไฮบริด

CLA-Class ใหม่ จะเปิดตัวในช่วงปลายปีนี้ และจะเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ MB.OS หลังจากนั้น Mercedes-Benz จะเปิดตัว GLC ไฟฟ้า ซึ่งบริษัทฯ ระบุว่า “เป็นจุดเปลี่ยนในกลุ่มรถยนต์ SUV ขนาดกลาง… นี่คือรถ SUV ไฟฟ้าที่ลูกค้าของเรารอคอย”

ปรับดีไซน์รถยนต์ไฟฟ้าให้ “Conventional” มากขึ้น

นอกจากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่แล้ว Mercedes-Benz ยังประกาศปรับเปลี่ยนแนวทางการออกแบบรถยนต์ไฟฟ้า โดยจะเน้นดีไซน์ที่ “Conventional” หรือมีความเป็นรถยนต์ทั่วไปมากขึ้น แทนที่จะเน้นดีไซน์ที่ล้ำสมัยเหมือนกับรถยนต์ตระกูล EQ ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้บริโภคจำนวนมาก

ผู้บริหารของ Mercedes-Benz ย้ำว่า รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ของบริษัทฯ จะไม่มีภาษาการออกแบบหรือชื่อรุ่นที่แยกต่างหาก และรถยนต์ทุกรุ่นจะมีรูปลักษณ์ที่เป็น “Conventional” มากขึ้น ซึ่งหมายความว่า รถยนต์ไฟฟ้าของ Mercedes-Benz จะมีดีไซน์ที่ใกล้เคียงกับรถยนต์ G-Class มากกว่า EQS

เน้นย้ำแบรนด์ย่อย AMG, Maybach และ G-Class

นอกเหนือจากการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีใหม่ ๆ แล้ว Mercedes-Benz ยังให้ความสำคัญกับแบรนด์ย่อยที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ AMG (รถยนต์สมรรถนะสูง), Maybach (รถยนต์หรูระดับอัลตร้าลักชัวรี) และ G-Class (รถยนต์ SUV ออฟโรด) โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะเพิ่มจำนวนรถยนต์ในกลุ่มนี้ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการความพิเศษและแตกต่าง

ความท้าทายในอนาคต

แม้ว่า Mercedes-Benz จะมีแผนการที่ชัดเจนและน่าตื่นเต้น แต่บริษัทฯ ก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า, การลดลงของยอดขายในประเทศจีน, ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีในสหรัฐอเมริกา และสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน

นอกจากนี้ Mercedes-Benz ยังต้องลงทุนอย่างมากในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ, เพิ่มจำนวนรถยนต์ไฮบริด, พัฒนาเครื่องยนต์สันดาปที่ลูกค้าต้องการ และลดต้นทุนการดำเนินงานไปพร้อม ๆ กัน

บริษัทฯ คาดการณ์ว่ายอดขายในปี 2025 จะลดลง และมีกำไรน้อยกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากสถานการณ์ที่ยากลำบากในการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า, ปัญหาในตลาดจีน และความไม่แน่นอนในตลาดสหรัฐอเมริกา

อย่างไรก็ตาม Mercedes-Benz ยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในตลาดยานยนต์โลก และเชื่อมั่นว่าแผน “Intense Product Launch Program” จะช่วยให้บริษัทฯ กลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้ในอนาคต

#MercedesBenz #รถยนต์ไฟฟ้า #EV #เทคโนโลยี #SteerByWire #MBOS #CLA #GLC #EClass #CClass #AMG #Maybach #GClass #IntenseProductLaunch #ข่าวรถยนต์