การแข่งขันด้านราคาที่ดุเดือดในตลาดรถยนต์จีนกำลังปะทุขึ้นอย่างรุนแรง ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ต่างเร่งเกมเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีน นักวิเคราะห์ในงาน Auto China Show ณ กรุงปักกิ่ง คาดการณ์ว่าสงครามราคานี้จะทวีความรุนแรงขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นวงกว้าง
ผลกระทบจากราคาที่ลดต่ำลงอาจหมายถึงการขาดทุนครั้งใหญ่ของผู้ประกอบการรถยนต์ไฟฟ้าจีน และอาจบีบบังคับให้ผู้ผลิตรายย่อยต้องปิดกิจการลง การควบรวมกิจการกันในหมู่บริษัทรถยนต์จะมีโอกาสเกิดสูงขึ้น มีเพียงบริษัทขนาดใหญ่ มีสายการผลิตที่แข็งแกร่ง และเงินทุนมหาศาลเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้
รถยนต์ไฟฟ้าจะเข้ามาแทนที่รถยนต์ที่ใช้น้ำมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“รถยนต์ไฟฟ้าจะมาแทนที่รถยนต์ใช้น้ำมันโดยสิ้นเชิง นี่คือกระแสที่ไม่อาจย้อนกลับได้” คุณหลู่เทียน หัวหน้าฝ่ายขาย BYD Dynasty series กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์ โดย BYD เป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลก มีเป้าหมายในการปรับโฉมเซกเมนต์ตลาดบางกลุ่ม เพื่อมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดในราคาที่ดีที่สุดเพื่อดึงดูดลูกค้าชาวจีน คุณหลู่ไม่ได้ระบุว่าจะมีการปรับลดราคา BYD ต่อไปหรือไม่ หลังจากที่ได้ทำให้ตลาดสะเทือนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ด้วยการลดราคาสูงถึง 5-20% เพื่อช่วงชิงฐานลูกค้าจากรถยนต์น้ำมัน
สงครามราคาที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรก ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ากว่า 50 รุ่นจากหลากหลายแบรนด์มีการปรับลดราคาเฉลี่ยประมาณ 10% ทาง Goldman Sachs ได้ออกรายงานวิเคราะห์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าหาก BYD ปรับลดราคาลงอีก 10,300 หยวน (ประมาณ 50,000 บาท) กำไรสุทธิในอุตสาหกรรมยานยนต์จีนในปีนี้อาจติดลบ
จีนคือตลาด EV ที่ใหญ่ที่สุดของโลก
จีนครองตำแหน่งตลาด EV ที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยยอดจำหน่ายที่ครองสัดส่วนราว 60% ของตลาดโลก อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของจีนเผชิญภาวะชะลอตัวลงจากเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบและความลังเลของผู้บริโภคในการใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่
โดยในปัจจุบันมีผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีนแผ่นดินใหญ่เพียงไม่กี่ราย เช่น BYD และแบรนด์รถยนต์ระดับพรีเมี่ยมอย่าง Li Auto เท่านั้นที่ทำกำไรได้ บริษัทส่วนใหญ่ยังคงไม่สามารถบรรลุจุดคุ้มทุน
ผู้ผลิตจีนเริ่มขยายตลาดต่างประเทศ
“การขยายตลาดไปยังต่างประเทศจะเป็นเหมือนเบาะลมรองรับผลกระทบจากการลดลงของอัตรากำไรในประเทศ” คุณแจ็คกี้ เฉิน หัวหน้าธุรกิจระหว่างประเทศของ Jetour ผู้ผลิตรถยนต์จีนกล่าว เขาเสริมว่าการแข่งขันด้านราคาของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีนในประเทศจะส่งผลไปถึงตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ายังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ผู้บริโภคชาวจีนยังคงมองหาราคาที่ดี
ผู้จัดการฝ่ายขายจากบูธรถยนต์ General Motors ของสหรัฐอเมริกา ให้ความเห็นในงาน Auto China Show ว่าราคาและแคมเปญส่งเสริมการขาย น่าจะยังคงเป็นหัวใจในการสร้างความสำเร็จของแบรนด์รถยนต์ในประเทศจีนต่อไป มากกว่าเรื่องของคุณภาพหรือดีไซน์ เนื่องจากผู้บริโภคมีข้อจำกัดด้านงบประมาณและให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าเป็นอันดับแรก
แม้ว่าจะมีสงครามราคาเกิดขึ้น ผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง BYD ก็ยังสามารถปิดงบปี 2023 ด้วยกำไรสุทธิสูงถึง 3 หมื่นล้านหยวน (ประมาณ 155,000 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 80.7% จากปีที่แล้ว
มีการคาดการณ์ว่าสงครามราคาจะสิ้นสุดลงในเร็ววันนี้ คุณไบรอัน กู่ ประธาน Xpeng ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะของจีน กล่าวว่าระดับราคาจะมีความเสถียรมากขึ้นในระยะใกล้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเป็นเหมือนแรงขับเคลื่อนให้การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าก้าวหน้าต่อไปในระยะยาว
ยอดขายรถ EV ชะลอตัวทั่วโลก แต่คาดว่าจะกลับมาเติบโต
ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกได้ชะลอตัวลง ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกต่างปรับลดการลงทุนด้านรถยนต์ไฟฟ้า ท่ามกลางความกังวลเรื่องแนวโน้มผลกำไร ทีมวิจัยจาก Goldman Sachs ได้ปรับลดประมาณการเติบโตของความต้องการแบตเตอรี่ลิเธียมทั่วโลกในปี 2024 มาอยู่ที่ 29% ลดลงจากประมาณการเดิมที่ 35% สาเหตุมาจากผู้บริหารบริษัทรถยนต์สหรัฐแสดงความกังวลเรื่องกำไรของรถยนต์ไฟฟ้า และภาครัฐในตลาดยุโรปบางแห่งมีการปรับลดเงินอุดหนุน
อย่างไรก็ดี ถึงแม้จะมีแรงกดดันด้านกำไร การที่ราคาโลหะที่ใช้ผลิตแบตเตอรี่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ต้นทุนแบตเตอรี่โดยรวมลดลงด้วย ปัจจุบันแบตเตอรี่มีสัดส่วนราว 1 ใน 3 ของราคารถยนต์ไฟฟ้า “ข่าวดีคือราคาแบตเตอรี่กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว” คุณนิกฮิล บันดารี หัวหน้าร่วมฝ่ายวิจัยทรัพยากรธรรมชาติและพลังงานสะอาด Goldman Sachs กล่าว ทางทีมวิเคราะห์คาดการณ์ว่าราคาแบตเตอรี่จะปรับลดลงราว 40% ระหว่างปี 2023-2025 ซึ่งจะช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถแข่งขันทางด้านราคากับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินอุดหนุนในปีหน้า
การปรับลดลงของราคาโลหะและนวัตกรรมการผลิตแบตเตอรี่ยังคงดำเนินต่อไป และจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งภาครัฐในสหรัฐฯและสหภาพยุโรปยังคงมีมาตรการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า “ทิศทางจากภาครัฐยังคงเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญ” คุณบันดารีกล่าว