JPMorgan ฟันธง! BYD จะก้าวขึ้นเป็น “โตโยต้า” แห่งวงการ EV โลก

JPMorgan ฟันธง! BYD จะก้าวขึ้นเป็น “โตโยต้า” แห่งวงการ EV โลก

นักวิเคราะห์ JPMorgan ปรับเพิ่มคาดการณ์ยอดขาย BYD ปี 2026 แตะ 6.5 ล้านคัน ชี้ BYD มีศักยภาพเติบโตในตลาดโลก พร้อมขยายฐานการผลิตในต่างประเทศ แม้เผชิญความท้าทายจากกำแพงภาษี EU

เจาะลึกอนาคตอันสดใสของ BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่จากประเทศจีน เมื่อ JPMorgan สถาบันการเงินชั้นนำระดับโลก ได้ออกมาแสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของ BYD อย่างเต็มเปี่ยม โดยปรับเพิ่มคาดการณ์ยอดขายในปี 2026 ขึ้นเป็น 6.5 ล้านคัน จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 6 ล้านคัน เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว

ทีมวิเคราะห์ของ Nick Lai จาก JPMorgan ระบุในรายงานวิจัยว่า BYD มีแนวโน้มที่จะกลายเป็น “โตโยต้า” ของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ระดับโลก ด้วยยอดขายที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยคาดว่า BYD จะสามารถส่งมอบรถยนต์ได้ถึง 1.5 ล้านคันในตลาดต่างประเทศในปี 2026 ซึ่งเป็นตัวเลขที่สอดคล้องกับประมาณการเดิม

การคาดการณ์ล่าสุดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของ JPMorgan ว่า BYD จะสามารถขยายส่วนแบ่งการตลาดในตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลทั่วโลก (รวมถึงรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน) จาก 3% ในปี 2023 เป็น 7% ในปี 2026 ในขณะที่ส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) จะยังคงอยู่ที่ประมาณ 22%

JPMorgan มองว่าปี 2026 จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญและเป็นหมุดหมายเชิงกลยุทธ์สำหรับ BYD ในการขยายธุรกิจสู่ระดับโลก เนื่องจากบริษัทจะดำเนินการสร้างและเพิ่มกำลังการผลิตในฐานการผลิตต่างประเทศ 4 แห่ง ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย บราซิล และฮังการี ได้อย่างเต็มรูปแบบ

แม้ว่าสหภาพยุโรป (EU) จะประกาศขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีน แต่ทีมวิเคราะห์ของ JPMorgan เชื่อว่า BYD จะยังคงสามารถแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้ โดยเน้นที่การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่นด้านคุณสมบัติและเทคโนโลยี มากกว่าที่จะแข่งขันด้วยราคาเพียงอย่างเดียว

ยอดขาย BYD ทะยานต่อเนื่อง:

ข้อมูลจาก CnEVPost เผยว่า ในปี 2024 ที่ผ่านมา BYD มียอดขายรถยนต์ NEV รวมทั้งสิ้น 4.27 ล้านคัน เพิ่มขึ้นประมาณ 41% จาก 3.02 ล้านคันในปี 2023 โดยแบ่งเป็นยอดขายรถยนต์ NEV สำหรับผู้โดยสาร 4.25 ล้านคัน และรถยนต์ NEV เชิงพาณิชย์ 21,775 คัน

ในส่วนของตลาดต่างประเทศ BYD มียอดขายรถยนต์ NEV ถึง 417,204 คันในปี 2024 เพิ่มขึ้นถึง 71.86% จาก 242,765 คันในปี 2023

ทีมวิเคราะห์ของ Lai คาดการณ์ว่ายอดขายของ BYD ในปี 2025 จะเติบโตขึ้นอีกประมาณ 30% จากปี 2024 แตะระดับ 5.5 ล้านคัน โดยปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นจะช่วยลดต้นทุนต่อหน่วย ซึ่งจะส่งผลดีต่ออัตรากำไรของบริษัท

BYD กับกลยุทธ์ “สงครามราคา” รูปแบบใหม่:

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตรถยนต์ EV รายใหญ่มักจะปรับลดราคารถยนต์ลงอย่างมากในช่วงต้นปี เพื่อรับมือกับยอดขายที่ชะลอตัวตามฤดูกาล ตัวอย่างเช่น เมื่อต้นปีที่แล้ว BYD ได้ปรับลดราคารถยนต์รุ่นหลักๆ ผ่านการเปิดตัวรุ่น Glory Edition

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้สถานการณ์แตกต่างออกไปเล็กน้อย เนื่องจาก BYD ไม่ได้ปรับลดราคาในช่วงต้นปี แม้ว่า Tesla จะเป็นผู้จุดชนวนสงครามราคาอีกครั้ง ด้วยการเสนอส่วนลดค่าเบี้ยประกันสำหรับรถยนต์ Model 3 เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันทำงานแรกของปีมะโรงตามปฏิทินจันทรคติจีน

สิ่งที่น่าสนใจคือ ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ BYD ได้จัดงานเปิดตัวกลยุทธ์ด้านระบบขับขี่อัจฉริยะ พร้อมอัปเดตระบบ Smart Driving ให้กับรถยนต์ 21 รุ่น แต่ยังคงราคาเดิมไว้

ทีมวิเคราะห์ของ Lai มองว่า การดำเนินการของ BYD ในครั้งนี้ถือเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของ “สงครามราคา” หรือการทำการตลาดด้านราคา

“อันที่จริง นับตั้งแต่ปี 2020 หรือ 2021 เป็นต้นมา เราได้เห็นผู้นำด้านราคาที่สำคัญสองราย ได้แก่ Tesla และ BYD ดำเนินกลยุทธ์การตลาดด้านราคาที่คล้ายคลึงกันในเดือนมกราคม” ทีมวิเคราะห์ระบุ

“ในปีนี้ สงครามราคาเพิ่งปะทุขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพราะมาตรการจูงใจในการแลกเปลี่ยนรถยนต์ ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่มีสินค้าคงคลังต่ำมากในเดือนมกราคม และมียอดสั่งซื้อจำนวนมากตั้งแต่เดือนธันวาคม 2024”

ทั้งนี้ การปรับเพิ่มคาดการณ์ยอดขายของ BYD โดย JPMorgan ในครั้งนี้ ตอกย้ำถึงศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่งของ BYD ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลก ด้วยกลยุทธ์การขยายฐานการผลิตในต่างประเทศ การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น และการรับมือกับสงครามราคาอย่างชาญฉลาด ทำให้ BYD มีโอกาสที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคตได้อย่างแท้จริง

#BYD #JPMorgan #EV #รถยนต์ไฟฟ้า #ยอดขาย #ตลาดรถยนต์ #โตโยต้า #สงครามราคา #NEV #SmartDriving